วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แมวไทย 3

โกนจา



                                กายดำคอสุดท้อง                                     ขาขนเลเอียดเฮย
                                ตาดั่งศรีบวบกล                                                   ดอกแย้ม
                                โกนจาพนนิพนธ์                                               นามกล่าว ไว้นา
                                 ปากแลหางเรียวแฉล้ม                                      ทอดเท้าคือสิงห์

โกนจา หรือ ดำปลอด มีสีดำละเอียด นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม หางเรียวยาว ท่าทางการเดินสง่าเหมือนสิงโต แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย


            โกนจา หรือ โกญจา แปลว่า นกกระเรียน แมวชนิดนี้เป็นแมวสีดำสนิทตลอดทั้งตัว ขนสั้น ไม่มีสีอื่นใดปะปนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลักษณะเป็นขนเส้นเล็กละเอียดนุ่มและเรียบตรงทั้งลำตัว ส่วนหัวกลมแต่ไม่โต มีปากเรียวแหลม หูตั้ง นัยตาเป็นสีเหลืองอมเขียวหรือทองอ่อน อาจเปรียบได้กับดอกบวบแรกแย้มหรือทองดอกบวบ รูปร่างสะโอดสะองคล่องแคล่ว หางยาว ปลายหางแหลมตรง อุ้งเท้าทอดคล้ายเท้าสิงห์ มีความสง่างามขณะเคลื่อนไหว
แมวสายพันธุ์โกนจา มีลักษณะคล้ายกับแมวสายพันธุ์ต่างชาติอีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ บอมเบย์

วิลาศ

ราวคอทับถงาดท้อง                            สองหู
                                ขาวตลอดหางดู                                                   ดอกฝ้าย
                                มีเสวตรสี่บาทตรู                                                 สองเนตร์ เขียวแฮ
                                งามวิลาศงามคล้าย                                             โภคพื้น กายดำ

 
วิลาศ มีลำตัวสีดำจากคอไปตลอดท้อง จากสองหูไปจนถึงหางและขาทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเขียว เชื่อว่เลี้ยงไว้แล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองมากมาย
เก้าแต้ม
สลับดวงคอโสตรัตต้น                       ขาหลัง
สองไหล่กำหนดทั้ง                                            บาทหน้า
มีโลมดำบดบัง                                                     ปลายบาท สองแฮ
เก้าแห่งดำดุจม้า                                                   ผ่าพื้นขาวเสมอ

แมวเก้าแต้ม เป็นแมวสีขาว มีสีดำแต้มสีดำรวมเก้าแห่ง คือ บริเวณหัว คอ โคนขาหน้าและโคนขาหลังหลังทั้ง 4 ข้าง ไหล่ทั้ง 2 ข้าง และโคนหาง ลักษณะแต้มสีดำนี้จะเป็นวงกลมหรือปื้นเหลี่ยมก็ได้ ปลายหางเรียวยาว สีขาว ใครได้แมวเก้าแต้มไว้เลี้ยงดูก็จะทำให้การค้าขายรุ่งเรือง ร่ำรวย คนไทยโบราณมักเลี้ยงไว้ในพระราชสำนัก
รัตนกำพล

สมยากาเยศย้อม                                   สีสังข์ 
                                 ชื่อรัตนกำพลหวัง                                              ว่าไว้
                                 ดำรัดรอบกายจัง                                                 หวัดอก หลังนา
                                 ตาดั่งเนื้อทองได้                                                 หกน้ำเนียรแสง  

รัตนกำพล ตัวขาวเหมือนหอยสังข์ แต่รอบตัวตรงส่วนอกมีลักษณะคล้ายสายคาดสีดำ ตาสีเหลือง เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมียศ ผู้อื่นยำเกรง
นิลจักร
                           
                                                นิลจักรบอกชื่อช้อย                             ลักษณา
                                  กายดุจกลปีกกา                                                  เทียบแท้
                                  เสวตรจอบรัดกรรฐา                                         โดยที่
                                  เนาประเทศได้แม้                                              ดั่งนี้ควรถนอม  
นิลจักร มีลำตัวดำสนิท ที่คอมีขนสีขาวอยู่รอบเหมือนกับปลอกคอ เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมีทรัพย์มาก
มุลิลา
 
                                                มุลิลาปรากฏแจ้ง                                 นามสมาน
                                 ใบโสตสองเสวตรปาน                                     ปักล้วน
                                 ศรีตาผกาบาน                                                     เบญจมาศ เหลืองนา
                                 หางสุดโลมดำถ้วน                                            บาทพื้นกายเศียร    

มุลิลา ลำตัวดำ หูสองข้างมีสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนดอกเบญจมาศ เชื่อว่าแมวชนิดนี้เหมาะกับนักบวชเลี้ยงเพราะช่วยให้มีการเล่าเรียนดีสมปรารถนา

นิลรัตน์

สมยานามชาติเชื้อ                               นิลรัตน์
กายดำสิทธิสามรรถ                                            เลิศพร้อม
ฟันเนตรเล็บลิ้นทัต                                            นิลคู่ กายนา
หางสุดเรียวยาวน้อม                                          นอบโน้มเสมอเศียร
 
นิลรัตน์ สีดำทั้งตัว รวมถึงเล็บ ลิ้น ฟัน ดวงตา และกระดูก หางยาวตวัดได้จนถึงหัว เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แมวไทย 2

ศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง

วิลาศุภลักษณ์ล้ำ                                                   วิลาวรรณ
ศรีดังทองแดงฉัน                                                                 เพริศแพร้ว
แสงเนตรเฉกแสงพรรณ                                                    โณภาษ
กรรษสรรพโทษแล้ว                                                           สิ่งร้ายคืนเกษม

          สีขนเป็นสีทองแดงตลอดตัว มีนัยน์ตาเป็นประกาย ใครเลี่ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นอำมาตย์มนตรี
          
               แมวศุภลักษณ์ เรียกอีกชื่อว่า แมวทองแดง มีสีทองแดงหรือน้ำตาลแดงเข้มทั่วตัว อาจมีสีเข้มเป็นพิเศษตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส แมวทองแดงมีรูปร่างขนาดกลาง สง่า น้ำหนักตัวพอประมาณ ขายาวเรียวฝ่าเท้าอวบ ศีรษะค่อนข้างกลมกว้าง ด้วยสีขนออก น้ำตาลเข้ม เหมือนกับสีของทองแดง มีตาสีออกเหลือง หรือ สีอำพัน หนวดมีสีเหมือนลวดทองแดง และบริเวณตามส่วนของร่างกาย เช่นหน้า หู ปลายขา และ หางจะมีสีน้ำตาลเข้มกว่าบริเวณลำตัวทั่วๆไป แมวพันธุ์ศุภลักษณ์จะมีสีสันสะดุดตาอย่างมาก และ มีความสวยงาม สมกับคำว่า "ศุภลักษณ์" ที่แปลว่าลักษณะที่ดี ว่ากันว่าแมวชนิดนี้เป็นแมวที่ได้ติดตามเจ้าของที่เป็นคนไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกที่พม่า เมื่อความนิยมได้แพร่หลายมากขึ้น ชาวต่างชาติจึงได้นำไปจดทะเบียนเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งของโลก โดยใช้ชื่อว่า Burmese แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองไทย
           แมวศุภลักษณ์ เป็นแมวที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ อยากรู้อยากเห็น ชอบผจญภัย รักอิสระเสรีเหนืออื่นใด
ชอบสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว กับคนแปลกหน้าแล้วมันดูจะเป็นแมวที่ร้ายพอสมควร ว่ากันว่าแมวชนิดนี้เป็นแมวที่ได้ติดตามเจ้าของที่เป็นคนไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกที่พม่า เมื่อความนิยมได้แพร่หลายมากขึ้น ชาวต่างชาติจึงได้นำไปจดทะเบียนเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งของโลก โดยใช้ชื่อว่า Burmese แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองไทยนี่เอง ผู้ใดเลี้ยงไว้มีแต่จะเพิ่มยศยิ่งขึ้นไป

มาเลศ



 
วิลามาเลศพื้น                                                       พรรณกาย
ขนดังดอกเลาราย                                                                เรียบร้อย
ตาดั่งน้ำค้างย้อย                                                                   หยาดต้องสัตบง
โคนขนเมฆมอปลาย                                                           ปลอมเสวตร

 มาเลศหรือ แมวโคราช หรือ สีสวาด มีขนสีดอกเลาเปรียบเสมือนกับเมฆสีเทายามฟ้ายับฝน มีนัยน์ตาหยาดเยิ้มประหนึ่งนำค้างย้ยต้องกลีบบัว ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำมาซึ่งสุขสวัสดิ์มงคล

แมวโคราช หรือ แมวมาเลศ ต้นกำเนิดพบที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในนามว่าโคราช มีหลักฐานบันทึกเกี่ยวกับแมวโคราชในสมุดข่อยที่เขียนขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1350-1767 หรือประมาณ พ.ศ. 1893-2310 ในบันทึกได้กล่าวถึงแมวที่ให้โชคลาภที่ดี 17 ตัวของประเทศไทย รวมถึงแมวโคราชด้วย ปัจจุบันสมุดข่อยนี้ถูกเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
แมวเพศผู้มีสีเหมือนดอกเลา จึงเรียก แมวสีดอกเลา โดยจะต้องมีขนเรียบ ที่โคนขนจะมีสีขุ่น ๆ เทา ในขณะที่ส่วนปลายมีสีเงิน เป็นประกายคล้ายหยดน้ำค้างบนใบบัว หรือเหมือนคนผมหงอก

ชื่อแมวโคราช เป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโดยใช้แหล่งกำเนิดของแมวเป็นชื่อเรียกพันธุ์แมว มีเรื่องเล่ามากมายหรือเป็นตำนานเล่าขานเกี่ยวกับแมวโคราช รวมถึงตำนานพื้นบ้านที่กล่าวถึงการที่แมวโคราชมีหางหงิกงอมากเท่าไหร่จะมีโชคลาภมากเท่านั้น (แม้ว่าลักษณะหางหงิกงอไม่ใช่มาตรฐานพันธุ์ตามหลักของ CFA ก็ตาม) แต่คนไทยบางกลุ่มจะเรียกแมวโคราชว่า แมวสีสวาด

คนสมัยโบราณมีความเชื่อว่า แมวโคราชเป็นแมวนำโชคลาภของคนโคราช และคนเลี้ยงทั่ว ๆ ไป จะนำมาซึ่งความสุขสวัสดิมงคลแก่ผู้เลี้ยง แมวโคราชเคยประกวดชนะเลิศในระดับโลกมาแล้วในปี พ.ศ. 2503 ที่สหรัฐอเมริกา เป็นแมวตัวเมียชื่อว่าสุนัน และเป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศมาก จึงนับว่าแมวไทยได้ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยเป็นอันมาก

แมวโคราชได้ถูกนำไปเลี้ยงในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกโดย Cedar Glen Cattery ในมลรัฐโอเรกอน โดยได้รับมาจากพี่น้องชื่อ นารา (Nara) และ ดารา (Darra) ในวันที่ 12 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2502 ประมาณเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2509 นักผสมพันธุ์แมวโคราชและแมวไทย (วิเชียรมาศ) ชาวรัฐแมริแลนด์ ได้นำแมวโคราชประกวดในงานประจำปีและ ได้รับรางวัลชนะเลิศและเป็นที่รู้จัก 
ปัจจุบันได้มีการผลักดันให้แมวโคราชขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ประจำชาติไทย        ในปี พ.ศ. 2552

ลักษณะที่เป็นข้อเด่น

  • ลักษณะสีขน : ขนสั้น สีสวาด (silver blue) ทั่วทั้งตัวและเป็นสีสวาดตั้งแต่เกิดจนตาย
  • ลักษณะของส่วนหัว : หัวเมื่อดูจากด้านหน้าจะเป็นรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่และแบน หูตั้ง ในแมวตัวผู้หน้าผากมีรอยหยักทำให้เป็นรูปหัวใจเด่นชัดมากขึ้น หูใหญ่ตั้ง ปลายหูมน โคนหูใหญ่ ผิวหนังที่บริเวณจมูกและริมฝีปากสีเงิน หรือม่วงอ่อน
  • ลักษณะของนัยน์ตา : นัยน์ตาสีเขียวสดใสเป็นประกาย หรือสีเหลืองอำพัน ขณะยังเป็นลูกแมวตาจะเป็นสีฟ้า เมื่อโตขึ้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด และเมื่อเติบโตเต็มที่ตาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวใบไม้ หรือสีเหลืองอำพัน
  • ลักษณะของหาง : หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อย ๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว
ลักษณะที่เป็นข้อด้อย
ขนยาวเกินไป มีสีอื่นปน นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นมากเกินไป (เมื่อยืดขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี
 

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แมวไทย


แมวไทย คือแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น
           เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยบสู่สยามโดยการกวดต้อน
ครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยบไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก 
สำหรับในประเทศไทย คนไทยที่เป็นที่รับรู้ดีว่าชอบเลี้ยงแมวไทย อาทิ เช่น นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมาตรีและอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายพิชัย วาสนาส่ง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ และ ดร.สมเกีรติ อ่อนวิมล อดีตผู้อำนวยการ องค์การสื่อสารมวลชลแห่งประเทศไทย (อสมท.) เป็นต้น

ชนิดของแมวไทย

แมวไทย (วิฬาร) ที่ยังเหลือให้พบเห็นในปัจจุบันนี้มี 6 ชนิดคือ วิเชียรมาศ สีสวาด ศุภลักษณ์ โกญจา ขาวมณี และแซมเสวตร แต่แท้จริงแล้วในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยว่ามีทั้งหมด 23 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นแมวให้คุณ 17 ชนิด และ แมวร้ายให้โทษอีก 6 ชนิด

แมววิเชียรมาศ

 
ปากบนหางสี่เท้า
โสตสอง
แปดแห่งดำดุจปอง
กล่าวไว้



ศรีเนตรดั่งเรือนรอง
นาคสวาดิ ไว้เอย
นามวิเชียรมาศไซร้
สอดพื้นขนขาว

เมื่อแรกเกิดมีขนสีขาวหมด พอโตขึ้นจะมีสีเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อน ๆ แต่ที่หน้า หาง เท้าทั้งสี่หูทั้งสองข้าง และที่อวัยวะเพศอีก 1 แห่งรวมเก้าแห่งมีสีน้ำตาล (สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกายสีฟ้าสดใส เลี้ยงไว้มีคุณค่ายิ่งลำนักหนา จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูน
          แมววิเชียรมาศ ตรงกับความหมายว่า "เพชรแห่งดวงจันทร์" หรือ "Moon Diamond" บางตำราก็เรียก "แมวแก้ว" ซึ่งก็ตรงกับคำว่า "วิเชียร" แมวชนิดนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแมวเก้าแต้มเสมอ ที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง แมวเก้าแต้มคือแมวที่มีสีพื้นสีขาว และมีแต้มบนร่างกาย 9 แห่ง เหตุที่มักเข้าใจผิดเพราะแมววิเชียรมาศ จะมีสีพื้นสีขาวงาช้าง (หรือโบราณจะเป็นขาวล้วนก็ไม่ทราบ) และมีแต้มที่จมูกครอบไปถึงปากเป็นหนึ่งแห่ง กับขาทั้งสี่ หูสอง หางหนึ่ง และที่อวัยวะเพศอีกหนึ่ง รวมเป็น 9 แห่งเช่นกัน

ในแมววิเชียรมาศนี้แต้มตามตำราว่าไว้ว่าต้องเป็นสีดำดังหมึกวาด แต่ปัจจุบันเมื่อดูให้ดีแล้วจะเป็นแต้มสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ไม่ได้ดำสนิท หรือที่ต่างประเทศเรียกว่า Seal brown หรือแต้มสีครั่ง
แมววิเชียรมาศเป็นที่รู้จักในต่างประเทศโดยใช้ชื่อว่า แมวสยาม (Siamese Cat) แต่ต่างประเทศจะมีแต้มสีอื่นที่หลากหลายกว่า ซึ่งในบ้านเราจะยอมรับเฉพาะแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้มเท่านั้นนัยน์ตาสีฟ้าก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของแมวชนิดนี้

ลักษณะโดยทั่วไป

ลักษณะที่เป็นข้อเด่น

  • ลักษณะสีขน : ขนสั้นแน่นสีขาว หรือสีน้ำตาลอ่อน มีแต้มสีครั่ง หรือสีน้ำตาลไหม้ที่บริเวณใบหน้า หูทั้งสองข้าง เท้าทั้งสี่ หางและที่อวัยวะเพศ (ทั้งแมวเพศผู้และแมวเพศเมีย) รวม 9 แห่ง ขณะที่อายุยังน้อย หรือเป็นลูกแมว สีขนจะออกสีครีมอ่อนๆ หรือขาวนวล พอโตขึ้นสีจะค่อยๆ เข้มขึ้นตามลำดับจนเป็นสีน้ำตาล (สีลูกกวาด)
  • ลักษณะของส่วนหัว :รูปหัวไม่กลมหรือแหลมเกินไปหน้าผากใหญ่และแบนจมูกสั้นหูใหญ่ตั้งสูงเด่นบนส่วนหัว
  • ลักษณะของนัยน์ตา : ตาสีฟ้า
  • ลักษณะของหาง : หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อยๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว
ลักษณะที่เป็นข้อด้อย
ขนยาวเกินไป มีแต้มสีไม่ครบทั้ง 9 แห่ง แต้มสีอื่นที่ไม่ใช่สีน้ำตาลไหม้ นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่นๆ ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นเกินไป (เมื่อยืนขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว ) หางขอด หางหงิกงอ หางสดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แมวขนสั้นแท้

 อะบิสซิเนียน


             อะบิสซิเนียน (อังกฤษ: Abyssinian) เป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งที่มีความโดดเด่นสืบเชื้อสายมาจากแมวของชาวอียิปต์โบราณ มีลักษณะเป็นแมวที่มีสีสวยงาม สีขนมีลักษณะเป็นสีสลับกันในเส้นเดียวสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อะบิสซิเนียนจัดเป็นแมวที่มีขนาดปานกลาง มีลักษณะท่าทางภายนอกที่สง่าผ่าเผย ภายนอกเป็นแมวที่มีความแข็งแรง มีกล้ามเนื้อ มีความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ภายในแฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล มีความรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว และมีความขี้เล่นประสาแมว อะบิสซิเนียนจึงจัดเป็นสายพันธุ์แมวที่ได้รับความนิยมที่สุดในสายพันธุ์แมวขนสั้นของสหรัฐอเมริกา
ประวัติ
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครที่จะสามารถบอกถึงแหล่งหรือต้นกำเนิดของแมวสายพันธุ์นี้ได้ว่ามีต้นกำเนิดจากที่ไหน และเมื่อไร แต่มีเรื่องที่ยังคงเล่าต่อ ๆ กันมาว่า อะบิสซิเนียนนี้เป็นแมวที่สืบสายพันธุ์มาจากแมวศักดิ์สิทธิ์ หรือแมวที่เคารพบูชาสักการะของพวกชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งชาวอียิปต์เรียกว่า “Myeu” คาดว่าเป็นระยะเวลากว่า 4,000 ปีมาแล้ว ลักษณะของแมวสายพันธุ์นี้จะสังเกตได้ว่าลักษณะที่ประจำตัวของมันมีความสอดคล้องกับสมมุติฐานข้างต้น กล่าวคือ มีลักษณะที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกับหลักฐานทางโบราณคดีที่ถูกค้นพบอัน ได้แก่ ภาพวาดสีบนผนังถ้ำโบราณ และรูปปั้นหรือรูปแกะสลักต่าง ๆ ของชาวอียิปต์ จึงเป็นหลักฐานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างอะบิสซิเนียนกับแมวอียิปต์โบราณ

              ต้นกำเนิดหรือจุดกำเนิดของแมวสายพันธุ์นี้ คาดว่ามาจากแมวพันธุ์ “อะบิสซิเนียนที่มีชื่อว่า Zula” ซึ่งถูกนำเข้ามาจากประเทศอะบิสซิเนีย (ซึ่งปัจจุบันคือปะรเทศเอธิโอเปีย) โดยนายทหารที่ไปทำการรบในสงคราม อะบิสซิเนียที่เกาะ Zulu ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1868 ตามหนังสือที่บันทึกไว้โดย Dr. Gordon Staples ในปี ค.ศ. 1874
แต่อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิดของแมวพันธุ์ อะบิสซิเนียนนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เช่นกัน กล่าวคือ บางความเชื่อก็เชื่อว่า อะบิสซิเนียนนี้เป็นแมวพันธุ์พื้นเมืองของอังกฤษอยู่แล้ว หรือบางความเชื่อก็เชื่อว่า อะบิสซิเนียนที่เลี้ยงกันในปัจจุบันนี้สืบสายพันธุ์มาจากสายพันธุ์ที่อยู่ในเอเชียตะวันเฉียงใต้และบริเวณชายฝั่งของแถบมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น
             ในตอนต้นศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่าได้มีการนำเข้าแมวสายพันธุ์ อะบิสซิเนียน นี้จากประเทศอังกฤษ เข้าไปยัง ทวีปอเมริกาเหนือ และต่อมาในช่วง ค.ศ. 1930-1939 ก็ได้มีการขยายพันธุ์แมวพันธุ์นี้ออกไป จนกระทั่งอะบิสซิเนียนนี้กลายเป็นแมวที่ได้รับความนิยมมากพันธุ์หนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาหลังจากนั้น อะบิสซิเนียนนี้ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ๆ ต่อมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้อะบิสซิเนียนกลายเป็นแมวพันธุ์ที่ได้รับความชื่นชอบเป็นอันดับที่ 5 ของโลก (10 อันดับพันธุ์แมวที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันมากที่สุด พบว่า อะบิสซิเนียนติดอันดับอยู่ในอับดับ 5 ในกลุ่มแมวจำพวกแมวสายพันธ์ขนสั้น (สถิติข้อมูลจาก CFA: Cat Fancier’s Association ปี 2001))

ลักษณะทั่วไปภายนอก

 

อะบิสซิเนียนเป็นแมวที่มีสีสันสดใสสวยงาม มีขนที่มีลักษณะเป็นสีสลับกันสองสีภายในเส้นเดียวกัน สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นลักษณะเด่นของแมวสายพันธุ์นี้ มีขนาดรูปร่างขนาดปานกลางไม่ใหญ่มาก และมีลักษณะประจำสายพันธุ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การมีท่าทางที่สง่างาม มีขนาดสัดส่วนของร่างกายที่เหมาะสม ทำให้รูปร่างของลำตัวเกิดความสมดุล
  • ศีรษะ - มีลักษณะเป็นรูปลิ่มเป็นสันสูง ไม่มีลักษณะที่เป็นแผ่นเรียบ และสันรูปลิ่มนี้จะต่อยาวลงมาถึงบริเวณต้นคอ ขนทางด้านหน้าบริเวณศีรษะมีลักษณะเป็นรูปตัว M
  • ใบหู - มีลักษณะที่ว่องไวปราดเปรียว คอยระแวดระวังภัย เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา มีลักษณะของหูที่ใหญ่ อีกทั้งยังมีส่วนของใบหูที่กว้างขยายออก และมีรูปร่างของหูเป็นรูปถ้วย ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการรับฟังเสียงจากภายนอกได้อย่างชัดเจน
  • ดวงตา - มีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับเมล็ดอัลมอนด์ มีขนาดของดวงตาที่ใหญ่ ที่บริเวณขอบตามีสีของเส้นขนที่เข้ม ล้อมอยู่โดยรอบบริเวณดวงตาที่มีลักษณะสีขนที่อ่อนกว่า จึงเป็นการเน้นบริเวณดวงตาให้เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สำหรับสีของดวงตานั้นที่พบได้โดยมาก จะเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว
  • ลำตัว - มีความยาวปานกลาง สามารถโค้งงอได้อย่างเป็นสัดส่วน ดูสวยงามเป็นสง่า มีการเจริญของกล้ามเนื้อดี สามารถเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก และที่สำคัญที่สุด คือ มีความสมดุลของร่างกาย มีกระดูกที่แข็งแรงและสามารถยืนด้วยปลายเท้าได้อย่างมั่นคง
  • หาง - ค่อนข้างที่จะยางเรียว และค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปเรื่อย ๆ จากบริเวณโคนหางถึงปลายหาง
  • ขน - มีลักษณะที่นุ่ม เรียบลื่นและเป็นมันเงา
  • ขาและเท้า - มีลักษณะของขาภายนอกที่ยาวเรียวได้สัดส่วน มีส่วนของกระดูกขาเจริญและแข็งแรงดี อุ้งเท้ามีขนาดเล็ก กลมรีเป็นรูปไข่ และอัดตัวกันแน่น
  • นิ้วเท้า - ที่บริเวณขาหน้ามี 5 นิ้ว และบริเวณขาหลังมี 4 นิ้ว
ชนิดสีขนของอะบิสซิเนียน
ตามมาตรฐานของการแบ่งสีขนในการประกวดของ CFA Breed Standard : Abyssinian
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 สีด้วยกันคือ

สีแดงเข้ม (RED)
           ลักษณะของขนจะหนา เน้นเป็นสีแดงเรื่อ ๆ มีการไล่กระจายบริเวณของสีทำให้สีไม่เข้มมากเกินไปอยู่เพียงบริเวณใดบริเวณหนึ่งเพียงจุดเดียว เส้นขนมีการสลับสีกันระหว่างสีช็อกโกแลตและสีน้ำตาล บริเวณปลายขนจะมีสีเข้มมากที่สุด ผิวหนังบริเวณลำตัวมีสีออกแดง ส่วนปลายหางมีสีน้ำตาลอมช็อกโกแลต สีที่บริเวณขาทั้งทางด้านนอกและด้านในที่กลมกลืนกับสีหลักของลำตัว หน้าอกและท้อง ส่วนที่บริเวณจมูกมีสีออกแดงอมชมพู ระหว่างนิ้วเท้ามีสีน้ำตาลอมช็อกโกแลตขั้นอยู่ระหว่างนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว

สีน้ำตาลแดง (RUDDY)
           ลักษณะของเส้นขนจะมีการสลับสีกันระหว่างสีน้ำตาลกับสีดำเข้ม และที่บริเวณปลายสุดของเส้นขนนั้น จะมีสีเข้มมากที่สุด ส่วนผิวหนังบริเวณลำตัวจะมีสีน้ำตาลอมส้ม ปลายหางมีสีดำ ส่วนสีที่บริเวณขาทั้งด้านนอกและด้านในจะมีสีที่กลมกลืน หรือเข้ากับสีหลักบริเวณลำตัว หน้าอกและท้อง ส่วนบริเวณจมูกจะมีสีทึบมีสีออกน้ำตาลแดง ส่วนอุ้งเท้าจะมีสีดำหรือน้ำตาลก็ได้ และมีสีดำขั้นระหว่างนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว

สีเทาอมน้ำเงิน (BLUE)
           ลักษณะของเส้นขน มีการสลับสีกันระหว่างสีเทาอมน้ำเงินด้วยกันเอง เพราะมีความเข้มอ่อนของสีที่ไม่เท่ากัน ส่วนปลายสุดของเส้นขนมีสีเข้มมากที่สุด ส่วนผิวหนังบริเวณลำตัวมีสีแดงอมชมพูกลมกลืนกับสีเทาอ่อน ส่วนปลายหางมีสีเทาอมน้ำเงินเช่นเดียวกับสีของเส้นขนทั่วไป ส่วนสีที่บริเวณขาทั้งด้านนอกและด้านในจะมีสีที่กลมกลืน หรือเข้ากับสีหลักบริเวณลำตัว หน้าอกและท้อง ปลายจมูกมีสีชมพูเข้ม ส่วนสีที่อุ้งเท้ามีสีม่วงอมน้ำเงินและมีสีเทาอมน้ำเงินเข้ม อยู่ระหว่างนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว

สีส้มอมชมพู (FAWN)
           ลักษณะของเส้นขน มีการสลับสีกันระหว่างสีน้ำตาลอ่อนกับสีโกโก้ และที่บริเวณปลายสุดของเส้นขนนั้น จะมีสีเข้มมากที่สุด ผิวหนังบริเวณลำตัวเป็นสีเทา ส่วนปลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนผสมกับสีโกโก้เช่นเดียวกับสีทั่วไปของร่างกาย ส่วนสีที่บริเวณขาทั้งด้านนอกและด้านในจะมีสีที่กลมกลืน หรือเข้ากับสีหลักบริเวณลำตัว หน้าอกและท้อง จมูกสีส้มอ่อน อุ้งเท้าสีชมพูและมีสีน้ำตาลอ่อนผสมกับสีโกโก้อยู่ระหว่างนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว

บอมเบย์



แมวสายพันธุ์บอมเบย์ เกิดจากการผสมระหว่างแมวสายพันธุ์เบอร์มิส (แมวพม่า) กับแมวสายพันธุ์อเริกันขนสั้น มีรูปร่างขนาดกลางมองเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน หัวโตหน้าผากกลมกว้าง หูกลมและเอียงไปทางข้างหน้า มีจมูกสั้นสีดำคางเห็นชัดเจน ตากลมโตสีตามีตั้งแต่สีทองไล่ไปจนสีทองแดง ขายาวปานกลางเท้าเล็กรูปไข่ มีนิสัยอ่อนโยนไม่ก้าวร้าวสามารถปรับตัวเข้ากับแมวตัวอื่นๆได้ดีและชอบอยู่กับมนุษย์ไม่ปลีกตัวไปไกล
ชื่อสายพันธุ์บอมเบย์ได้มาจากเสือดำในประเทศอินเดีย และชื่อเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย (ปัจจุบันคือเมืองมุมไบ)

ลักษณะโดยทั่วไป
รูปร่างและขนาด : เป็นแมวขนาดกลางมีกล้ามเนื้อชัดเจน หัวโตหน้าผากกลมกว้าง หูกลมและเอียงไปทางข้างหน้า มีจมูกสั้นสีดำคางเห็นชัดเจน ตากลมโตสีตาเป็นสีทอง ขายาวปานกลางเท้าเล็กรูปไข่

ลักษณะนิสัย : อ่อนโยนไม่ก้าวร้าวสามารถปรับตัวเข้ากับแมวตัวอื่นๆได้ดีและชอบอยู่กับมนุษย์ไม่ปลีกตัวไปไกล


ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7